ไม่รู้ว่ามีใครสงสัยกันไหม ว่าแบตเตอรี่รถยนต์เก่าที่ใช้แล้ว เอาไปทำไรได้บ้าง? ซึ่งบทความนี้เราจะมาหาคำตอบให้คุณเอง ตามปกติแล้วแบตเตอรี่เก่าจะนำไปตีเทิร์นแลกกับแบตเตอรี่ใหม่ เพื่อให้แบตเตอรี่ลูกใหม่ที่ซื้อมีราคาถูกลงนั้นเอง
ตามปกติแบตเตอรี่จะมีหน้าที่เก็บและจ่ายกระแสไฟฟ้า ไปยังอุปกรณ์ชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถยนต์ โดยเฉพาะการสตาร์ทเครื่องยนต์ จำเป็นต้องใช้ไฟจากแบตเตอรี่ส่งไปยังไดร์สตาร์ตเพื่อให้ไปหมุนเครื่องยนต์ให้ทำงานนั้นเอง ในส่วนอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ต้องใช้ไฟฟ้าจากแบตเตอรี่อาทิเช่น ระบบไฟส่องสว่างต่าง ๆ ระบบกระจกไฟฟ้า อุปกรณ์ไฟฟ้าอำนวยความสะดวกต่าง ๆ เป็นต้น
เมื่อเครื่องยนต์สตาร์ทติดและทำงานแล้ว จะมีการปั่นกระแสไฟฟ้าจากไดร์ชาร์จส่งคืนไปที่แบตเตอรี่นั้นเอง ซึ่งแบตเตอรี่ถือเป็นของสิ้นเปลืองของรถยนต์ โดยจะมีอายุการใช้งานประมาณ 2 ปี ขึ้นไป และต้องทำการเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่มาแทนที่

ส่วนคำถามที่ว่า แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไรนั้น ?
เรียกได้ว่าไม่มีอะไรที่ซับซ้อนแม้แต่น้อยในเรื่องนี้ ซึ่งคนทั่วไปปกติจะตีเทิร์นเพื่อเป็นส่วนลดในการซื้อแบตเตอรี่ลูกใหม่นั้นเอง ซึ่งมันจะช่วยลดราคาไปได้หลายร้อยบาทเลยทีเดียว คงไม่มีใครอยากซื้อแบตเตอรี่ราคาเต็ม ๆ และยังเก็บแบตเตอรี่ลูกที่เสื่อมไว้เฉย ๆ อย่างแน่นอน
อ่านเพิ่มเติม
ในส่วนร้านที่รับซื้อแบตเตอรี่เก่า ก็จะนำแบตเตอรี่ไปเข้าวงจรการรีไซเคิลใหม่ เนื่องจากชิ้นส่วนภายในแบตเตอรี่คือตะกั่ว ทองแดง ซึ่งมีราคาที่สูงนั้นเอง ในส่วนพลาสสิกเป็นแบบ ABS ก็สามารถรีไซเคิลใหม่นั้นเอง เรียกได้ว่าคำถามที่ว่า แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไรนั้น บอกได้เลยว่าเป็นการรีไซเคิลเพื่อสร้างแบตเตอรี่ลูกใหม่นั้นเอง
แบตเตอรี่ประกอบไปด้วยชิ้นส่วนดังต่อไปนี้
– ขั้วแบตเตอรี่
– แผ่นธาตุลบ
– แผ่นธาตุบวก
– แผ่นกั้น
เราสามารถแบ่งแบตเตอรี่รถยนต์ในท้องตลาดแบบง่าย ๆ ได้ 2 ประเภท ได้แก่
แบตเตอรี่แบบธรรมดา (แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไร)
ถึก ทน ราคาถูก นิยามสั้น ๆ ของแบตเตอรี่แบบธรรมดา หรือเรียกกันว่าแบตเตอรี่น้ำ ซึ่งมีความทนทานกว่าแบตเตอรี่ชนิดอื่น และมีราคาที่ถูกกว่า โดยต้องหมั่นดูแลระดับน้ำกลั่นอย่างสม่ำเสมอ
แบตเตอรี่กึ่งแห้ง (แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไร)
เน้นความสะดวกสบายเป็นหลัก แต่อายุการใช้งานจะเฉลี่ยประมาณ 2 ปี โดยคุณไม่จำเป็นต้องดูแลอะไรเลย เรียกได้ว่าใช้งานไปเรื่อย ๆ จนเสื่อม และเปลี่ยนใหม่เพียงเท่านั้น
ปกติของแบตเตอรี่รถยนต์ทั้งสองชนิด จะมีอายุการใช้งานที่แตกต่างกันพอสมควร ถ้าเป็นแบตเตอรี่แห้งจะมีอายุเฉลี่ยประมาณ 2 ปี บวก/ลบ โดยประมาณ สำหรับแบตเตอรี่น้ำจะมีอายุการใช้งานที่มากกว่า 3 ปี เป็นเรื่องปกติ ทั้งหมดจะขึ้นอยู่กับการดูแลรักษาแบตเอตรี่ระหว่างการใช้งานนั้นเอง
การดูแลรักษาแบตเตอรี่

สิ่งที่ต้องทำเหมือนกันทั้งแบตเตอรี่แห้งหรือแบตเตอรี่น้ำก็คือ ต้องใช้งานอยู่เรื่อย ๆ เพื่อให้แบตเตอรี่มีการชาร์จไฟเข้าไปเก็บใหม่ ซึ่งจะช่วยยืดอายุของแบตเตอรี่ให้ยาวตามที่ควรจะเป็น แต่หากใครไม่ได้ขับรถยนต์ใช้งานบ่อย ๆ ก็จำเป็นต้องซื้อเครื่องชาร์จไฟแบตเตอรี่มาใช้งานแทน เพื่อให้แบตเตอรี่ของคุณมีอายุตามที่ควรจะเป็น
นอกจากนี้ไม่ควรปล่อยให้แบตเตอรี่ไฟหมด เนื่องจากจะทำให้มีความเสียหายต่อแบตเตอรี่เป็นอย่างมาก และแทบจะไม่มีทางที่แบตเตอรี่จะมีอายุการใช้งานที่ยืนยาวได้เลย
แบตเตอรี่กึ่งแห้ง (แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไร)
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้นว่าไม่ต้องดูแลอะไร ก็เท่ากับว่าใช้งานไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะเสื่อมนั้นเอง แต่หากใส่ไว้ในรถยนต์ที่จอดเป็นหลัก อาจต้องซื้อเครื่องชาร์จแบตเตอรี่มาไว้กระตุ้นไฟเป็นประจำแทน
แบตเตอรี่น้ำ (แบตเตอรี่ เก่า เอา ไป ทํา อะไร)
มีเรื่องน้ำกลั่นภายในแบตเตอรี่ที่ต้องดูแลอยู่เสมอ โดยให้ตรวจเช็กเป็นประจำในทุกเดือน ๆ หากแบตเตอรี่น้ำที่คุณใช้งานมีอายุการใช้งานมากกว่า 3 เดือนขึ้นไปแล้ว ซึ่งการตรวจสอบระดับน้ำกลั่นของแบตเตอรี่จะช่วยแบตเตอรี่มีอายุยืนยาวนั้นเอง
ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่:https://rakamercedes.com/